คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่า เกิดอะไรขึ้นบ้างในขณะที่เรานอนหลับ
หลายคนเชื่อว่าการนอนหลับเป็นช่วงเวลาที่สมองจะได้พักผ่อน
แต่ที่จริงสมองมีบทบาทมากขณะที่เรานอนหลับ
โดยนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการวิจัยจนสามารถแบ่งช่วงเวลาของการนอนหลับออกเป็น 2
ช่วงใหญ่ๆ คือ ช่วง REM (Rapid Eyes Movement)และช่วง
Non- REM (Non – Rapid Eyes Movement)
เริ่มจากการนอนหลับในช่วง REM จะเป็นช่วงที่กล้ามเนื้อตายังคงมีการเคลื่อนไหวอยู่โดยจะเกิดขึ้นต่อเนื่องประมาณ
70 – 90 นาทีหลังจากที่เรานอนหลับ โดยเฉลี่ยจะเกิดช่วง REM
นี้ประมาณ 3 –5 ครั้งต่อคืน
ในช่วงนี้สมองจะเริ่มทำงานและพบว่าอัตราการหายใจและความดันโลหิตจะเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าสมองจะยังทำงานแต่ร่างกายของเราจะยังคงนอนนิ่งไม่ขยับ
นั่นเป็นเพราะธรรมชาติกำหนดมาเพื่อให้เราเกิดความฝันในช่วงนี้
ส่วนช่วงการหลับแบบ Non-REM สามารถแบ่งออกเป็น 4
ขั้นย่อยดังนี้คือ
เป็นช่วงเวลาช่วงแรกๆ ของการนอนหลับ
เราจะรู้สึกเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น กล้ามเนื้อในร่างกายจะเริ่มคลายตัว
ขั้นนี้หากมีสิ่งเร้าภายนอกเข้ามารบกวน เราสามารถตื่นจากการนอนได้ง่ายมาก
หลังจากขั้นที่ 1 ประมาณ 10 – 20 นาทีเราจะเข้าสู่การหลับในขั้นที่ 2 ซึ่งขั้นนี้พบว่า
อัตราการหายใจและอัตราการเต้นของหัวใจจะเริ่มช้าลง
ในขั้นที่ 3 หากตรวจคลื่นสมองดูจะพบว่าสมองจะผลิตคลื่นสมองที่เรียกว่า
“เดลต้า” ซึ่งเป็นคลื่นที่มีขนาดใหญ่
(แอมปลิจูดสูง) และความถี่ต่ำ
นอกจากนั้นพบว่าการหายใจและอัตราการเต้นของหัวใจจะอยู่ที่ระดับต่ำสุดด้วย
และเมื่อเข้าสู่ขั้นที่ 4 การหายใจจะเป็นจังหวะมากขึ้น
ถ้าหากเราถูกปลุกให้ตื่นในช่วงนี้เราจะไม่สามารถปรับตัวได้โดยจะทำให้รู้สึกสับสน
ไม่สบายตัวอยู่ประมาณ 2 – 3 นาทีหลังจากตื่นนอน เช่น
การสะดุ้งตื่นกลางดึก ปัสสาวะรดที่นอน ฝันร้าย หรือเกิดอาการละเมอ
ซึ่งอาจพบได้ในวัยเด็ก
คนส่วนใหญ่มักไม่คำนึงถึงความสำคัญของการนอนหลับ
เพราะคิดว่ามันเป็นเพียงแค่กิจกรรมหนึ่งที่ต้องทำในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว
แต่เราอาจคาดไม่ถึงว่าการที่เรานอนหลับไม่เพียงพอนั้นอาจส่งผลให้ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง
ซึ่งอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมาเช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน ตลอดจนโรคมะเร็ง
นอกจากนั้นการนอนหลับที่ไม่เพียงพอยังมีผลต่อการทำงานของสมองและอารมณ์
โดยอาจทำให้เราอารมณ์ไม่คงที่ มีความจำสั้นหรือไม่มีสมาธิในการทำกิจกรรมใดๆ
หรือเกิดสภาวะที่เรียกว่า สมาธิสั้น เป็นต้น
ดังนั้นการนอนหลับให้เพียงพอจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น คำถามต่อมาก็คือ แล้วเราควรจะใช้เวลาในการนอนหลับนานเท่าใดถึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
โดยปกติแล้วไม่มีตัวเลขที่แน่นอนว่าคนเราควรจะนอนหลับประมาณวันละกี่ชั่วโมง
แต่จากการสำรวจของสถาบัน National Sleep Foundation ประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่าความต้องการในการนอนหลับขึ้นอยู่กับช่วงอายุหรือวัย
ซึ่งสามารถสรุปได้ตามตารางดังนี้
วัย
|
ความต้องการในการนอนหลับ
|
แรกเกิด – 2 เดือน
3 – 11 เดือน
1 – 3 ปี
3 – 5 ปี
5 – 10 ปี
10 – 17 ปี
ผู้ใหญ่
|
12 – 18 ชั่วโมง
14 - 15 ชั่วโมง
12 - 14 ชั่วโมง
11 – 13 ชั่วโมง
10 – 11 ชั่วโมง
8.5 – 9.25 ชั่วโมง
7 –
9 ชั่วโมง
|
นอกจากนั้นจากการสำรวจของสถาบันวิจัยโรคมะเร็งของประเทศสหรัฐอเมริกายังพบว่า
คนที่ใช้เวลาในการนอนเพียง 6 ชั่วโมงหรือน้อยกว่าต่อคืน และคนที่ใช้เวลานอน 9
ชั่วโมงหรือมากกว่าต่อคืน
มีอัตราเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากกว่าคนที่ใช้เวลาในการนอนอยู่ในระยะเวลา 7 –
8 ชั่วโมงต่อคืนอีกด้วย
ปัจจุบันมีหลายคนที่ประสบกับปัญหานอนไม่หลับ
ซึ่งผลที่ตามมาก็คือจะทำให้เรารู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีสมาธิในการทำงาน รู้สึกง่วงระหว่างวันและทำให้รู้สึกเซื่องซึม
ซึ่งอาการดังกล่าวอาจเป็นอันตรายต่อผู้ที่ต้องขับรถหรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล
เพราะจากสถิติในแต่ละปีพบว่าสาเหตุในการเสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ซึ่งผู้ขับรถมีอาการมึนงงหรือหลับในขณะขับรถซึ่งสาเหตุที่ทำให้เรานอนไม่หลับนั้นมีอยู่มากมายตัวอย่างเช่น
- ห้องนอนมีเสียงดังรบกวน
หรืออุณหภูมิในห้องอาจจะร้อนหรือเย็นจนเกินไป
- เตียงนอนหรือหมอนไม่เหมาะสมกับสรีระของร่างกาย
- รับประทานอาหารมื้อเย็นมากเกินไปทำให้เกิดอาการแน่นท้องหรืออดอาหารมื้อเย็นแล้วทำให้เกิดอาการหิวจนต้องตื่นมากลางดึก
- ดื่มเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์หรือมีคาเฟอีน
เช่น ชา กาแฟก่อนเข้านอน
- คิดเรื่องที่ทำให้เกิดอาการเครียดหรือทำให้เกิดความกังวลก่อนเข้านอน
นอกจากนี้ทางสถาบัน National Sleep Foundation ได้ทำการวิจัยและสำรวจเพื่อหาแนวทางในการช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับได้ซึ่งสามารถสรุปออกเป็น 10 ข้อดังนี้
1)
จัดตารางเวลาการนอนให้เหมาะสมและเป็นเวลาจะช่วยทำให้ร่างกายเกิดสมดุล เช่น
ตื่นนอนในตอนเช้าและพอถึงเวลากลางคืนร่างกายของเราจะรู้สึกอยากนอนเองโดยอัตโนมัติ
2) หากิจกรรมทำก่อนนอนแต่ต้องเป็นกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายร่างกาย เช่น การอาบน้ำอุ่น ฟังเพลงจังหวะสบายๆหรืออ่านหนังสือก่อนนอน
หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นร่างกายให้ตื่นตัวเช่น การเล่นเกม
ทำงานหรือทำบัญชีก่อนเข้านอนเพราะจะทำให้เรารู้สึกกังวลจนนอนไม่หลับ
3) สร้างบรรยากาศในห้องนอนให้เหมาะสม เช่น ห้องนอนควรจะเงียบ ไม่มีเสียงรบกวน
อุณหภูมิในห้องต้องเย็นพอดีและควรจะปิดไฟให้มืด
4) อุปกรณ์ที่ใช้ในการนอนก็มีส่วนสำคัญ ควรเลือกหมอนและเตียงนอนให้เหมาะสมกับสรีระของร่างกาย
หมั่นเปลี่ยนผ้าปูที่นอนหรือนำมาซักทุกอาทิตย์เพื่อจะได้ช่วยลดการสะสมของฝุ่นและไรซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองขณะนอนหลับได้
5) ควรคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของการจัดห้องนอนว่าควรเน้นให้ใช้สำหรับนอนเท่านั้น
ไม่ควรนำอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆเข้าไปไว้ในห้องนอนเช่น คอมพิวเตอร์ โต๊ะทำงานหรือแม้แต่การแขวนนาฬิกาไว้ที่ปลายเตียงจะทำให้เรารู้สึกกังวลตลอดเวลาจนเกิดอาการนอนไม่หลับ
6) ควรจะรับประทานอาหารให้เสร็จก่อนเวลาเข้านอนประมาณ 2 – 3 ชั่วโมงและไม่ควรดื่มน้ำมากเพราะจะทำให้รู้สึกไม่สบายตัวจนอาจต้องตื่นกลางดึกบ่อยๆ
เพื่อมาเข้าห้องน้ำ
นอกจากนั้นยังควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารประเภทที่ย่อยยากหรือมีรสเผ็ดจัดก่อนเข้านอนด้วย
7) ถ้าจะออกกำลังกายควรจะทำก่อนเวลาเข้านอนประมาณ
3 ชั่วโมง
หากออกกำลังกายแล้วเข้านอนเลยร่างกายจะยังปรับตัวไม่ทันเพราะในขณะที่ออกกำลังกาย
ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นและมีความตื่นตัวสูงด้วย
8) หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มประเภทที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เช่น ชา
กาแฟหรือน้ำอัดลมเพราะถึงแม้ว่าคาเฟอีนจะถูกขับออกมาจากร่างกายภายในเวลา 3 – 5 ชั่วโมงหลังจากที่ดื่มเข้าไปแล้วนั้น
แต่มันสามารถส่งผลกระทบต่อร่างกายอย่างต่อเนื่องได้นานถึง 12 ชั่วโมง
ดังนั้นจึงไม่ควรดื่มเครื่องดื่มดังกล่าวก่อนเวลาเข้านอน
9) หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ก่อนเข้านอนเพราะในบุหรี่จะมีสารนิโคตินอยู่
ซึ่งสารตัวนี้จะส่งผลให้ร่างกายเกิดอาการตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาจึงทำให้เรานอนไม่หลับ
10) หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ก่อนเข้านอน ถึงแม้ว่าหลายคนจะเข้าใจว่าการดื่มเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย
แต่ความจริงมันเป็นสาเหตุที่ทำให้เราฝันร้ายหรือเกิดอาการละเมอในขณะนอนหลับซึ่งจะส่งผลให้ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ
หากเราปฏิบัติตัวได้ตามข้อแนะนำที่กล่าวมา
นอกจากจะช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับได้แล้ว ยังทำให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
ทำให้เราตื่นขึ้นมาเริ่มกิจกรรมในเช้าวันใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ฟักข้าว แคปซูล
ปริมาณและราคา 1 ขวด มี 90 แคปซูล ราคา 1300 บาท
ดูข้อมูลที่ http://pannfitgac.blogspot.com/
สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่าย
คุณ วราพร แคล้วศึก
โทร. 085-9083178
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น